วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


                                                                        วัฒนธรรมหินตั้ง

                                            (Megalithic Culture)

      หินตั้ง (Standing stone) คือ เขตแดน หรือ การสร้างปริมณฑล (Boundary) เพื่อพิธีกรรมต่างๆ  ตามความเชื่อของแต่ละท้องที่ ซึ่งชุมชนบรรพกาลทั่วโลก ล้วนมีร่องรอยพิธีกรรมเพื่อความเชื่อในลัทธิบูชาอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือ ผี (Animism) จึงมักจะมีการสร้าง "สถานที่ติดต่อกับอำนาจเหนือธรรมชาติ" ในรูปแบบของ "อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์" หรือ "เขตหวงห้าม" มิให้ผู้คนทั่วไปในชุมชน เข้ามารบกวนกระบวนการเซ่นสรวง บูชา และลุกล้ำสิ่งอื่นๆที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสถานที่นั้นๆ  
           ชุมขนโบราณอายุ 3,000 - 1,000 ปี ทั่วโลกต่างก็ล้วนมีร่องรอยของ "วัฒนธรรมหินตั้ง" กันแทบทั้งสิ้น เช่น ในประเทศลาว "ทุ่งไหหิน"เมืองโพนสะหวัน ก็จัดเป็นวัฒนธรรมหินตั้งอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียง ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
.
            
            ตามที่นักมานุษยวิทยาได้ลงความเห็นกันว่า บริเวณที่มี "หินตั้ง" น่าจะเป็นที่ฝังกระดูกของบรรพบุรุษ หรือเป็นสถานที่เพื่อทำพิธีฝังศพครั้งที่สองหลังจากมีการนำซากศพจากแร้งกิน หรือจากการเผามาแล้วในครั้งแรก พิธีฝังศพครั้งที่สอง น่าจะมีการฆ่าสัตว์เช่นวัว,ควาย เพื่อการเซ่นไหว้บูชาอำนาจเหนือธรรมชาติและผีบรรพบุรุษ  "หินตั้ง" จะถูกใช้เพื่อการล่ามสัตว์ที่นำมาฆ่าบูชายัญ ฉะนั้น "หินตั้ง" จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่วิญญาณบรรพบุรุษกับวิญญาณสัตว์ที่ถูกฆ่าจะมาสิงสถิตเพื่อคอยดูแลปกป้องคุ้มครองเผ่าพันธุ์ลูกหลาน

        นอกจากการใช้หินในการตั้งเป็นขอบเขตของปริมณฑลแห่งความศักดิ์สิทธิ์แล้ว เรายังพบว่า มีร่องรอยของการใช้เสาไม้เป็นหลักเขต"พิธีกรรม" แทนการใช้หินอีกด้วย

       ในช่วงเวลา ชุมชนโบราณในภูมิภาค "สุวรรณภูมิ" ของเรา ก็มีการค้นพบ"วัฒนธรรมหินตั้ง"และร่องรอยประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวข้องกับการบูชายัญและผี เป็นปริศนามากมายหลายแห่งทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ กระจัดกระจายตัวไปทั่ว เช่นที่ ลุ่มน้ำอิง จังหวัดเชียงราย ผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี 


               ในปัจจุบันนี้ถ้ากล่าวถึง "หินตั้ง" หรือ "ผาตั้ง" ตามคนท้องถิ่นภาคเหนือเรียกกันจะเป็นที่รู้จักกันน้อยมากว่าคืออะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับวิถีชีวิตของผู้คนชาวไทยเหนือ กล่าวคือปัจจุบันวัฒนธรรมหินตั้งได้ค่อยๆเลือนลางลงเนื่องจากยุคสมัยเปลี่ยนไป ความเชื่อของคนสมัยใหม่ก็เปลี่ยนแปลง จึงทำให้มีผู้คนรู้จักกับ "หินตั้ง"  น้อยมาก ตามตำนานลาวไทย ได้กล่าวไว้ว่า มีร่องรอยวัฒนธรรมหินตั้งเนื่องในศาสนาผีราว 3,000 ปีมาแล้ว โดยใช้สืบเนื่องมาจนรับศาสนาจากอินเดียราวหลัง พ.ศ.1,000
          แต่ในตำนานนิทานไม่เรียกหินตั้ง  หากเรียกชื่อต่างๆกันตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น เช่น ดิน(หิน) 7 ก้อน, หลักหิน, ก้อนหินก่ายฟ้า, หินก้อนเส้า,ฯลฯ และอื่นๆอีกมากมาย
          หินกับดิน ในตำนานมักเรียกปนจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะอยู่ด้วยกัน ถือเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ดินนานไปก็เป็นหิน หินแตกไปก็เป็นดิน

หิน 7 ก้อน
          ตำนานสร้างโลก ของกลุ่มผู้ไทย หรือ ไทยดำ, ไทยขาว ทางภาคเหนือของเวียดนาม  ต้องก่อเป็นดิน ซึ่งหมายรวมถึงหิน มี 7 ก้อน ดังนี้
          “ก่อเป็นดินเป็นหญ้า ก่อเป็นฟ้าท่อถวงเห็ด ก่อเป็นดินเจ็ดก้อน ก่อเป็นน้ำเก้าแควปากแททาว”
          ถอดความเป็นปัจจุบันว่าก่อ(สร้าง) ดินหญ้าก่อ(สร้าง) ฟ้าเหมือนเห็ด ก่อ(สร้าง) ดิน (หมายถึงหินด้วย) เจ็ดก้อนก่อ(สร้าง) แม่น้ำเก้าสาย มีน้ำแท (คือแม่น้ำดำ) น้ำทาว (คือแม่น้ำแดง)


หลักหิน
          หินตั้ง มีร่องรอยอยู่ในนิทานเรื่องขุนบรม เรียก หลักหิน
          เมื่อพรหมจะตั้งเมืองใหญ่ 16 เมืองกับเมืองน้อย 15 เมือง  ต้องใส่หลักต่างกันดังนี้เมืองใหญ่ ใส่หลักแก้ว, หลักคำ, หลักเงิน เมืองน้อย ใส่หลักเงิน, หลักคำ, หลักหิน
          หลักหินใส่เมืองน้อย คือ หินตั้ง

ก้อนก่ายฟ้า
          หินตั้งศักดิ์สิทธิ์ เรียก ก้อนก่ายฟ้า บางทีเรียก ก้อนหินก่ายฟ้า
          นิทานเรื่องขุนบรมเล่าว่าเมื่อฤๅษีจะสร้างเมืองล้านช้าง ได้ตั้งหลักหมายแผ่นดินไว้หลายหลัก หลักแรก เรียกหลักหมั้น (หลักมั่น) นอกนั้นก็มี หลักหินแก้ว
          บริเวณที่จะตั้งปราสาทของพระภูมิเจ้าที่ ฤๅษีจึงเอาหินหน่วยหนึ่ง ชื่อ ก้อนก่ายฟ้า ปักหมายไว้
          ต่อมาขุนลอ (ลูกขุนบรม) ตั้งเมืองชวาล้านช้างที่เชียงดงเชียงทอง  อันฤๅษีแรกหมายไว้ที่ก้อนก่ายฟ้านั้น
          ก้อนก่ายฟ้า  หมายถึง  หลักศิลาจารึกก็ได้  มีในนิทานเรื่องขุนบรมบอกว่าฤๅษี “เขียนหนังสือใส่ไว้ในก้อนก่ายฟ้า”

หินก้อนเส้า
          ขุนจอมธรรม เจ้าเมืองพะเยา กำหนดเขตแดนเมืองพะเยาโดยใช้หินปักเป็นหลักหมาย เรียกในพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนว่า “หินหลักไก่”
          แล้วบอกอีกว่าบางแห่ง “ฝังหินไว้นั้นสามลูก” เป็นแดน คือ หินสามเส้า  แต่บางแห่งมี “7 ก้อนเส้า” เป็นแดน
          วัฒนธรรมหินตั้งสองฝั่งแม่น้ำอิง  ตั้งแต่เมืองพะเยา (จ. พะเยา) จนสบแม่น้ำโขงที่เมืองเชียงของ (จ. เชียงราย) พบกระจัดกระจายทั่วไปโดยมีตำนานว่าเป็นฝีมือพวกกล๋อม
          เส้า หมายถึง ก้อนดิน, ก้อนหิน, ท่อนไม้ เช่น หินสามก้อน วางเป็นมุมรองรับภาชนะดินเผาอยู่เหนือกองไฟหุงต้มอาหาร เรียก ก้อนเส้า
          กล๋อม ในตำนานสุวรรณโคมคำ อธิบายหมายถึงคนพวกหนึ่งที่ชำนาญเอาหินศิลามาก่อล้อมสถานที่อยู่แห่งตน หรือทำเป็นกำแพงและป้อมปราการก็ได้

หินสามเส้า
          นิทานเรื่องขุนบรมเล่าว่ากษัตริย์เวียงจันขัดแย้งกับกษัตริย์อยุธยาจะรบกัน
          กษัตริย์อยุธยามีสารเจรจาว่าเราเป็นพี่น้องกันมาแต่ขุนบรม  ไม่ควรรบกัน ให้แบ่งเขตแดนกันตรงที่มีหินสามก้อนเป็นแดน เรียก ดงสามเส้า ใกล้เมืองนครไทย  (ปัจจุบันอยู่ จ. พิษณุโลก)
          “เจ้าโยทธิยา จิงกล่าวว่า เฮาหากเป็นพี่น้องกันมาแต่ขุนบรมบุราณปางก่อน พุ้นมาดาย  เจ้าอยากได้บ้านได้เมืองให้เอาเขตแดนแต่ดงสามเส้า เมือเท่าภูพระยาผ่อแล แดนเมืองนครไทย”


เจดีย์ครอบหิน
          พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับนั่งบนหินก้อนหนึ่ง ทรงมีพุทธทำนายว่าหินก้อนนี้ต่อไปจะได้ผู้มีบุญมาตั้งศาสนา
          พระเจ้าวิชุลทรงทราบเรื่องตำนาน ต่อมาจึงให้สถาปนาสถูปเจดีย์ครอบหินก้อนนั้นไว้ มีในนิทานเรื่องขุนบรม ว่า
          “ให้หาดินกี่ อันจักตั้งเจดีย์กวมก้อนหินอันออกในตำนานนั้นว่าพระพุทธเจ้านั่งนั้น”

            ซึ่งจากความเชื่อ  เรื่องเล่าตำนานต่างๆจากเรื่องนี้ ทำให้รู้ว่า "หินตั้ง" มีความสำคัญมากต่อการสร้างบ้าน ปักหลักเมืองของคนโบราณ(แถบภาคเหนือ) ซึ่งสถานที่ที่จะสร้างเมืองได้นั้นจะต้องถูกหลักต่อการสร้าง มีพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น แหล่งน้ำ แหล่งทำการเกษตรต่างๆ เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตคนในเมืองได้ และยังต้องมีรั้วบ้านที่สามารถป้องกันภัยจากภายนอกได้  นอกจากนี้เขตแดนบริเวณที่มี "หินตั้ง" นั้นถือได้ว่าเป็นเขตสถานที่ศักดิ้สิทธิ์เนื่องจากเป็นสถานที่เซ่นไหว้บุชาหลังการสร้างเมือง  และบูชาผีบรรพบุรุษของผู้คนตามท้องถิ่นนั้นๆ    ในบริเวณพื้นที่ภาคเหนือปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีการนับถือผีน้อยลงเนื่องจากมีพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ อย่างไรก็ตามการนับถือผีก็มิได้เลือนหายไปเลย เพราะเรื่องของความเชื่อในวิถีพุทธ กับความเชื่อเรื่องผี ยังมีความเกี่ยวข้องกันอยู่  โดยคนส่วนมากที่จะนับถือผี นั้นจะเป็นพวกชาติพันธ์ หรือคนกลุ่มดั้งเดิม เช่น ชาวลั้วะ ชาวลัวะคือชาติพันธ์ มอญ - เชมร ซึ่งจะอาศัยอยู่แถบบริเวณภาคเหนือตอนบนโดยส่วนมาก  เช่น ลำพูน ลำปาง  เชียงใหม่  น่าน ฯ ซึ่งคนเหล่านี้นั้นยังเซ่นไหว้ผีอยู่จนถึงปัจจุบัน  มีทั้งการ ไหว้ผีบ้านผีเมือง (การเลี้ยงผีเสื้อบ้าน) การเลี้ยงผีเจ้าป่าเจ้าเขา เพื่อมิให้ใครทำมิดีมิร้ายต่อป่าเขา บุกรุกล้ำเขตแดน การนับถือผีขุนน้ำ เพื่อมิให้ให้ทำมิดีมิร้าย ทำลายแหล่งต้นน้ำลำธาร  หนองน้ำต่างๆ   ตลอดจนการนับถือเทวดาเทพารักษ์ ที่คนเหล่านี้มีความเชื่อเช่นนี้เพราะเมื่อเราไม่ได้ล่วงล้ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็จะได้มีชีวิตที่ดี ไม่เจ็บไม่ป่วย ทำมาหากิน ทำไร่ ทำนา อย่างราบรื่นไม่มีอุปสรรค และได้ผลผลิตดี  


* ผีเสื้อบ้านน่าจะมาจาก  ผีเชื้อชาติบรรพบุรุษ (อ.สุภาพ ต๊ะใจ)